“ภูนั่งยอง” นักท่องเที่ยวยังสามารถมากางเต้นท์แบบคูลๆ ได้อีกด้วย ลุงมิตรและน้องแป้งเจ้าของร้านเล่าให้ฟังว่าถ้าฝนตกชุ่มๆ หน่อยนะเราจะได้ยินเสียงน้ำไหลในบรรยากาศเย็นสบาย ยิ่งช่วงเวลาเช้าจะมีหมอกปลกคลุมเต็มผืนป่าเลย และถ้าเป็นช่วงคืนที่พระจันทร์เต็มดวงซึ่งผมไม่แน่ใจว่าช่วงประมาณกี่ค่ำ (ต้องลองสอบถามจากทางร้านดู) หลังจากพระอาทิตย์ตกแล้ว เราจะได้เห็นพระจันทร์เต็มดวงเข้าใกล้เรามากที่สุด ลุงมิตรเล่าเพิ่มเติมว่าพื้นที่ตรงนี้ลุงอยู่มานานเพิ่งจะมีไฟฟ้าใช้เมื่อสิบปีที่แล้วเอง ลุงชอบที่นี่เพราะมันมีความเป็นธรรมชาติลุงจึงตัดสินใจตั้งรกรากกับครอบครัวที่นี่ โดยภูนั่งยองเป็นบันใดขั้นที่ 3 ของลุงมิตรและยังมีขั้นต่อไปอีกคือการทำรีสอร์ทและทำร้านให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากกว่านี้มาขึ้นเรื่อยๆ
วันจันทร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2561
สถานที่ท่องเที่ยวบนเขา
สถานที่สุดแสนธรรมชาติ
ไม่ต้องไปไกลถึงเชียงใหม่หรือวังน้ำเขียว เราก็สามารถสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติได้อย่างสดชื่นบนวิวหลักแสนได้ที่บ้านฉาง จังหวัดระยอง วันนี้ระยองฮิพ ออกเดินทางจากตัวเมืองระยองมุ่งสู่บ้านฉาง พอถึงสี่แยกไฟแดงเนินกระปรอก เราก็เลี้ยวขวาเพื่อเข้าสู่เส้นทางวัดเขาภูดร ขับรถมาเรื่อยๆ ก็พบว่าเป็นเส้นทางแห่งธรรมชาติจริงๆ อยู่ท่ามกลางขุนเขาที่ไม่สูงชันเท่าไหร่ มีเนินแผ่หลาให้ตื่นตาตื่นใจ มีมุมสูงให้เห็นวิวเนินเขา สนามกอล์ฟ ถ้ามาปั่นจักรยานคงสนุกไม่น้อยเพราะมีเส้นทางขึ้นลงเนินต่ำเนินสูง ตอนนี้ (18/06/59)
เขากำลังปรับปรุงเส้นทาง โดยขยายเส้นทางให้ใหญ่ขึ้นและเชื่อมต่อไปยังถนนบาสพาสได้อย่างสะดวกสบาย ขับรถเข้ามาราวๆ 8 กิโลเมตร เราก็ได้พบกับร้านภูนั่งยอง ที่อยู่บนเนินเขาวิวธรรมชาติสุดๆ ตรงข้ามยังมีรีสอร์ทให้ได้พักผ่อนกันอีกด้วย มาถึงแล้วก็สั่งเครื่องดื่มแล้วเดินไปชั้นบน เพื่อทอดวิวธรรมชาติสักนิด พอเห็นวิวแล้วเรียกได้ว่ามีความเขียวขจีมากๆ แถมยังได้สัมผัสลมเย็นๆ ที่โชยมาเบาๆ วิวไฮไลท์ของที่นี่คือภูเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ เฉดสีเขียวเข้ม สีเขียวอ่อน สีเขียวอมเหลืองคละเคล้ากันและมีภูเขาที่มีหินเรียงรายสลับกันกับพื้นที่สีเขียว มีแม่น้ำที่คอยรองรับน้ำที่ไหลจากผืนป่า
Review ภูนั่งยอง cafe
Review .....
งานนี้ลงพื้นที่เองครับ
บรรยากาศด้านในแอร์เย็นมากครับ
ด้านบนวิวสวยจริงๆครับ
และมาต่อกันด้วยด้านข้างของภูนั่งยองกันเลยครับ
วิวโดยรอบๆเป็นธรรมชาติทั้งนั้นครับ
แถวอากาศยังเย็นอีกด้วยครับ
และนี่คือขนมเค้กที่ขายด้านในครับ
ทนไม่ไหวแล้วครับเลยจัดมา2ชิ้น เค้กเผือก,เค้กมะพร้าว
ขนมเค้กหอมและอร่อยมากครับ
และตามด้วยกาแฟครับ
รูปสุดท้ายก่อนกลับบ้านครับ
ประวัติของ..กาแฟ
ต้นกาแฟ ค้นพบครั้งแรกใน เอธิโอเปีย (Ethiopia) เนื่องจากชายเลี้ยงแพะสังเกตุเห็นแพะที่เลี้ยงอยู่มีอาการกระปรี้กระเปร่า เป็นพิเศษ หลังจากได้กินผลสีแดงคล้ายเชอรี่ของต้นไม้ชนิดหนึ่ง ชายเลี้ยงแพะจึงลองเก็บผลชนิดนั้นมาลองกินดูบ้าง ปรากฎว่าเกิดอาการเช่นเดียวกับแพะ ข่าวดังกล่าวแพร่หลายอย่างรวดเร็วจนกระทั่งทราบไปถึงผู้สอนศาสนาที่รู้ถึง ความมหัศจรรย์ของผลสีแดงนี้ พระผู้สอนศาสนาจึงทดลองนำผลเชอรี่ดังกล่าวไปแช่น้ำและดื่มน้ำนั้นดู ทำให้เกิดความรู้สึกกระฉับกระเฉง เหตุนี้จึงเป็นต้นกำเนิดของการดื่มน้ำผลเชอรี่หรือผลกาแฟนั่นเอง ความนิยมของกาแฟเริ่มแพร่กระจายในอาหรับมากขึ้น กระทั่งในปี ค.ศ.1534 สุลตานแห่งอิสตันบูล นามว่า ออสโตมัส สั่งประกาศให้ เป็นสิ่งผิดกฏหมาย แต่เหมือนยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุหนึ่งปีต่อมากาแฟเป็นที่นิยมมากขึ้นและมีร้านกาแฟเกิดขึ้น เป้นพี่พบปะของเหล่านักคิด นักปราชญ์ศิลปินรวมเหล่านักคิด ศิลปินแต่องค์กรศาสนากับมองว่าร้านกาแฟเป็นที่ซ่องซุมทำให้คนไม่สนใจศาสนา จึงประกาศว่า กาแฟเป็นเครื่องดื่มสีดำมืดของปีศาจซาตาน คนนิยมในกาแฟจึงลดลง กระทั่งยุคของสมเด็จสันปะปาคลีเมนที่ 13ได้ทดลองเครื่องดื่มดังกล่าว และประกาศว่าแท้จริงแล้วกาแฟมิได้เป็นอย่างข้อกล่าวหา กาแฟจึงกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งหนึ่งหลังจากนั้นการดื่มกาแฟ เริ่มแพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง ต่อมามีการนำผลกาแฟไปเผยแพร่แก่ชาวยุโรป ทำให้เครื่องดื่มชนิดนี้เป็นที่แพร่หลายไปทั่วยุโรปอย่างรวดเร็วในปี ค.ศ. 1700 เริ่มมีการนำต้นกาแฟไปปลูกแถบอเมริกาใต้ ซึ่งกลายเป็นที่นิยมปลูกกันมากในระยะเวลาต่อมา ปัจจุบันพื้นที่แถบอเมริกาใต้ปลูกกาแฟมากกว่า 19 ล้านตัน
ปัจจุบันมีหลายประเทศปลูกกาแฟ
ภูมิประเทศ ที่เหมาะสมสำหรับปลูกกาแฟอยู่บริเวณแนวขนานของเส้นศูนย์สูตร และบริเวณใต้เส้นศูนย์สูตร หรือประเทศเขตร้อน
ปัจจุบันมี 44 ประเทศ ที่เป็นสมาชิกขององค์การผู้ปลูกกาแฟ ได้แก่ Angola , Bolivia , Brazil , Burundi , Cameroon , Central African , Columbia , Congo , Congo Republic of , Costa Rica , Cuba , Dominican , El Salvador , Equatorial Guinea , Gabon , Ghana , Guaatemala , Guinea , Haiti , Honduras , India , Indonesia , Jamaica , Kenya , Madagascar , Malawi , Maxico , Nicaragua , Nigeria , Papua New Guinea , Paraguay , Philippines , Ruanda , Tanzania , Togo , Uganda , Venezuela , Vietnam , Zambia , Zimbabue , Thailand
แต่ว่า..
ประเทศที่ปลูกและให้ผลผลิตกาแฟเป็นอันดับ 1 ได้แก่
บราซิล
ส่วนในด้านของประเทศ ไทย นะครับ
ประเทศไทย มีผลผลิตกาแฟประมาณ 80,000 – 100,000 ตัน / ปี สัดส่วนการบริโภคภายในประเทศประมาณ 30,000 ตัน และอีก 70,000 ตันส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศ โดยมีตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา , แคนาดา , สเปน , เยอรมัน , อิตาลี , เกาหลีใต้ , ญี่ปุ่น ฯลฯ *ปีพ.ศ. 2540 ประเทศไทยสามารถส่งออกกาแฟได้จำนวน 73,286 ตัน
กาแฟสุดสร้างสรรค์
ลาเต้ อาร์ต
ดังที่เกริ่นหัวข้อเอาไว้ เชื่อว่าหลายคนอาจเกิดข้อสงสัยกับคำว่า “ลาเต้” (Latte) ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้เป็นชนิดของกาแฟอย่างที่เข้าใจกัน แต่มีความหมายในภาษาอิตาลีว่า “นม” หากใครเดินทางไปประเทศนี้แล้วพลาดท่าสั่งกาแฟว่าลาเต้ล่ะก็ แน่นอนว่าแทนที่จะได้กาแฟรสนุ่มๆ แต่กลับได้เป็นนมสดร้อนมาแทน ลาเต้จึงเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของกาแฟ ต่างประเทศจะเข้าใจคำนี้ในฐานะของกาแฟใส่นม เวลาต้องการสั่งจะเรียกกันว่า “caffè e latte” หรือ “café au lait” ที่มาจากภาษาฝรั่งเศษ ส่วนคำว่า Latte เป็นการย่อคำให้สั้นลง แต่เข้าใจตรงกันว่าเป็นกาแฟผสมนมนั่นเอง
ก่อกำเนิด Latte Art สู่ศิลปะของการทำกาแฟ
Latte Art ถูกสร้างสรรค์ขึ้นครั้งแรกในประเทศอิตาลี ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีความโด่งดังในเรื่องการชงกาแฟเป็นอย่างมาก ศิลปะในแก้วกาแฟได้รับความนิยม เช่นเดียวกันกับเหล่าบาริสต้าที่ได้รับยกย่องให้เป็นอาชีพอันทรงเกียรติ
ส่วนการทำ Latte Art จะมีด้วยกัน 3 รูปแบบคือ
1.แบบ Free pour หรือการเทแบบอิสระ เป็นวิธีที่บาริสต้าจะต้องมีความชำนาญในการวาดลวดลายลงบนกาแฟ ความนิ่ง จดจ่ออยู่กับงาน มีสมาธิและความอดทนสูง ซึ่งจะเป็นการเทนมลงในกาแฟเอสเปรสโซ่ให้เป็นลวดลายต่างๆ ที่สวยงาม
2.แบบ Drag เป็นการลากนมในถ้วย หยอด หรือเขี่ย เป็นวิธีที่ไม่ยาก เพราะไม่ต้องใช้เทคนิคมากมาย อุปกรณ์หลักมีเพียงถ้วยกาแฟเอสเปรสโซ่ และนม ส่วนอื่นเพิ่มเติมเข้ามาคือแท่งคอกเทลหรือไม้จิ้มฟันสำหรับใช้ลาก
3.แบบผสม เป็นเทคนิคที่นำเอาการเทนมและการลากมาผสมเข้าด้วยกัน ช่วยให้ได้ลวดลายที่มีความซับซ้น สร้างลายที่ยากขึ้น แต่ต้องใช้ความรวดเร็วและชำนาญเป็นพิเศษ เพื่อให้กาแฟยังคงร้อนก่อนเสิร์ฟถึงมือลูกค้า
นอกจากนี้ฟองนมยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของกาแฟลาเต้ ช่วยสร้างสรรค์รสชาติที่น่าลิ้มลอง ละเมียดละไมและมีความนุ่มเป็นพิเศษ ซึ่งเคล็ดลับเพิ่มความอร่อยนี้คือการใช้ฟองนมที่เป็นนมโคแท้ๆ 100 เปอร์เซ็นต์ ผ่านการพาสเจอร์ไรต์มาเรียบร้อย ซึ่งมีปริมาณไขมันและโปรตีนสูง จึงให้รสชาติหอมมันมากกว่านมผสม เมื่อนำมาผ่านกระบวนการให้เป็นฟอง จะให้เนื้อที่มีความเนียนละเอียด ไม่หยาบกระด้างเป็นฟองขนาดใหญ่จนเห็นได้ชัด
สรุปแล้วควรทำความเข้าใจกับลาเต้ใหม่ เพราะมันไม่ได้มีความหมายว่ากาแฟ แต่คือนมที่ถูกนำไปเติมแต่งรสชาติให้กับกาแฟแก้วโปรด อีกทั้งยังถูกสร้างสรรค์ช่วยเปลี่ยนกาแฟสีน้ำตามเข้มธรรมดาให้ดูสวยงามด้วยการวาดลวดลายศิลปะที่น่าสนใจลงไปอีกด้วย
ประเภทของ กาแฟ
กาแฟดำ
เป็นการชงด้วยวิธีการหยดน้ำ อาจเป็นแบบให้น้ำซึมหรือแบบเฟรนช์เพรส เสิร์ฟโดยไม่ใส่นม อาจเติมน้ำตาลได้ ผู้คนมักเข้าใจผิดว่ากาแฟดำกับเอสเพรสโซเป็นอย่างเดียวกัน แต่ที่จริงแล้วกาแฟทั้งสองชนิดมีข้อแตกต่างกันหลายข้อ ข้อที่สำคัญคือ ถ้วยเสิร์ฟของเอสเพรสโซมีขนาดเล็กกว่า เพราะนิยมดื่มให้หมดในอึกเดียว ปกติแล้วเอสเพรสโซจะไม่ใส่น้ำตาลหรือนม และคนไม่นิยม เอสเพรสโซที่ชงถูกวิธีจะต้องมีฟองสีทองลอยอยู่ด้านบน รสชาติของเอสเพรสโซจะติดปากหลังจากดื่มนานกว่า (15-30 นาที)
เอสเพรสโซ่
คือกาแฟที่มีรสแก่และเข้ม ซึ่งมีวิธีการชงโดยใช้แรงอัดไอน้ำหรือน้ำร้อนผ่านเมล็ดกาแฟคั่วที่บดละเอียด ที่มาของชื่อ เอสเปรสโซ มาจากคำภาษาอิตาลี "espresso" แปลว่า เร่งด่วน เอสเปรสโซเป็นกาแฟที่นิยมมากที่สุดในแถบประเทศยุโรปตอนใต้ และด้วยวิธีการชงแบบใช้แรงอัด ทำให้เอสเปรสโซมีรสชาติกาแฟซึ่งเข้มข้นและหนักแน่น ต่างจากกาแฟทั่ว ๆ ไปซึ่งชงแบบผ่านน้ำหยด และเพราะรสชาติเข้มข้นและหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์นี้เอง ทำให้คอกาแฟดื่มเอสเปรสโซโดยไม่ปรุงด้วยน้ำตาลหรือนม และมักจะเสิร์ฟเป็นชอต (แก้วแบบจอก) เพื่อให้ปริมาณไม่มากจนเกินไป (ประมาณ 1-2 ออนซ์ หรือ 30-60มิลลิลิตร แตกต่างตาม พฤติกรรมการดื่ม ของแต่ละประเทศ) การสั่งเอสเปรสโซตามร้านกาแฟทั่วไป มักสั่งตามปริมาณเป็น "ซิงเกิล" หรือ "ดับเบิ้ล" (ชอตเดียว หรือ สองชอต) เอสเปรสโซมีความไวสูงในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เพื่อไม่ให้เสียรสชาติจึงควรดื่มตอนชงเสร็จใหม่ ๆ
อเมริกาโน่ หรือ คาเฟ่อเมริกาโน่
คือเครื่องดื่มกาแฟชนิดหนึ่ง ซึ่งมีวิธีการชงโดยเติมน้ำร้อนผสมลงไปในเอสเพรสโซ. การเจือจางเอสเพรสโซซึ่งเป็นกาแฟเข้มข้นด้วยน้ำร้อน ทำให้อเมริกาโนมีความแก่พอ ๆ กับกาแฟธรรมดา แต่มีกลิ่นและรสชาติที่เข้มอันมาจากเอสเพรสโซ อเมริกาโนเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกาแฟดำ แต่ไม่แก่และหนักถึงขั้นเอสเพรสโซ คอกาแฟส่วนใหญ่นิยมดื่มอเมริกาโนโดยไม่ปรุงด้วยนมหรือน้ำตาล เพื่อดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟของอเมริกาโนซึ่งแตกต่างจากกาแฟธรรมดา สำหรับที่มาของชื่ออเมริกาโนซึ่งหมายถึงสหรัฐอเมริกานั้น ว่ากันว่าเอสเพรสโซเพียว ๆ นั้น เข้มข้นเกินไปสำหรับคอกาแฟชาวอเมริกา จึงมีการเสิร์ฟกาแฟเอสเพรสโซซึ่งทำให้เจือจางด้วยน้ำร้อน. แม้ที่มาของชื่อจะหมายถึงกาแฟสไตล์อเมริกา แต่อเมริกาโนก็มิได้เป็นกาแฟที่ชาวอเมริกานิยมดื่ม จนกระทั่งยุครุ่งเรืองของร้านกาแฟแฟรนไชส์ สตาร์บัคส์ ในปี พ.ศ. 2533 แต่ถึงกระนั้นอเมริกาโนก็ไม่จัดเป็นกาแฟที่ได้รับความนิยมมากนัก
คาปูชิโน
มีส่วนประกอบหลักคือ เอสเพรสโซ และ นม การชงคาปูชิโนโดยส่วนใหญ่มักมีอัตราส่วนของเอสเพรสโซ 1/3 ส่วน ผสมกับนมสตีม (นมร้อนผ่านไอน้ำ) 1/3 ส่วน และนมตีเป็นโฟมละเอียด 1/3 ส่วนลอยอยู่ด้านบน นอกจากนั้นอาจโรยหน้าด้วยผงซินนามอน หรือ ผงโกโก้เล็กน้อยตามความชอบ ส่วนผสมของคาปูชิโนต่างจากของลาเต้ มาเกียโต้ (latte macchiato) ซึ่งประกอบไปด้วยนมเป็นส่วนใหญ่และนมตีโฟมเพียงเล็กน้อย ในประเทศอิตาลี ผู้คนมักดื่มคาปูชิโนเป็นอาหารเช้าโดยเฉพาะ โดยอาจมีขนมปังแผ่นหรือคุกกี้ประกอบ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าวิถีชีวิตของชาวอิตาลีมักไม่ค่อยรับประทานอาหารเช้าแบบเป็นกิจลักษณะ คาปูชิโนและขนมปังเบาๆ จึงเหมาะเป็นอาหารรองท้องสำหรับยามเช้า และด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่ดื่มคาปูชิโนในช่วงอื่นของวัน แต่สำหรับต่างประเทศรวมถึงประเทศไทย การดื่มคาปูชิโน ดื่มได้ทุกเวลาโดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก
มอคค่า
การชงกาแฟมอคค่า จะใช้เอสเปรสโซ 1/3 ส่วน ผสมกัน น้ำนมร้อน 2/3 ส่วน มีการชงคล้ายกับกาแฟลาเต้ (latte) แตกต่างกันที่มอคค่า จะมีส่วนผสมของช็อกโกแลต โดยมักจะใส่ในรูปของน้ำเชื่อมช็อกโกแลต เสิร์ฟได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็นใส่น้ำแข็ง มักมีวิปครีมปิดหน้า
มอคค่า อาจหมายถึงกาแฟอะราบิก้า (Arabica) ชนิดหนึ่ง ซึ่งปลูกอยู่บริเวณท่าเรือมอคค่าในประเทศเยเมน กาแฟมอคค่ามีสีและกลิ่นคล้ายช็อกโกแลต อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้กาแฟมอคค่าเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
ลาเต้
เป็นภาษาอิตาลีแปลว่านม ส่วนในประเทศอื่น จะหมายถึง กาแฟลาเต้ หรือเครื่องดื่มกาแฟที่เตรียมด้วยนมร้อน โดยการเทเอสเปรสโซ 1/3 ส่วน และนมร้อนอีก 2/3 ส่วน ลงในถ้วยพร้อมๆ กัน และจะหยอดโฟมนมหนาประมาณ 1 ซม. ทับข้างบน ในประเทศอิตาลี กาแฟลาเต้นี้รู้จักกันในชื่อของ "caffè e latte" ซึ่งหมายถึง กาแฟกับนม ซึ่งใกล้เคียงกับในภาษาฝรั่งเศส คำว่า "café au lait" กาแฟลาเต้เริ่มเป็นที่นิยมนอกประเทศอิตาลีในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980
ในการชงกาแฟลาเต้ บาริสต้า (หรือผู้ชงกาแฟที่ชำนาญงาน) จะใช้วิธีขยับข้อมือเล็กน้อยขณะที่รินนมและโฟมนมลงบนกาแฟ ทำให้เกิดลวดลายต่าง ๆ เรียกว่า ลาเต้อาร์ต (latte art) หรือศิลปะฟองนมในถ้วยกาแฟ
มัคคิอาโต
คำว่า “มัคคิอาโต” ในภาษาอิตาเลียนแปลว่า “การทำเครื่องหมาย” ฉะนั้นในโลกของกาแฟ ถ้ามีคำว่ามัคคิอาโตขึ้นมาเมื่อไร ความสวยงามจะต้องบังเกิด ถ้าเราสั่ง “คาเฟ่มัคคิอาโต” ก็จะเป็นกาแฟเอสเพรสโซปิดหน้าด้วยฟองนม ก่อนทำเครื่องหมายด้วยการเทนมอุ่นลงไปตรงกลางแก้วจนเห็นเป็นชั้นสวยงาม ในขณะที่ “ลาเต้มัคคิอาโต” จะเป็นนมร้อนที่ถูกทำเครื่องหมายด้วยกาแฟเอสเปรสโซ
ปิดท้ายด้วยแก้วโปรดของคนหลงรักความหวานหอม “คาราเมลมัคคิอาโต” (Caramel Macchiato) ซึ่งก็คือนมร้อนผสมคาราเมล แล้วทำเครื่องหมายสีน้ำตาลด้วยกาแฟเอสเปรสโซ ถ้ายิ่งปิดหน้าด้วยฟองนม แต่งหน้าด้วยคาราเมลอีกสักรอบ ก็จะยิ่งสวยหวานเข้าไปอีก
อัฟโฟกาโต
อัฟโฟกาโต ในภาษาอิตาลีแปลว่า “ถูกทำให้จม” คือของหวานที่ใช้กาแฟเป็นฐานการปรุง สำหรับ “อัฟโฟกาโต สไตล์ (Affogato style)” หมายถึงการราดหน้าเครื่องดื่มหรือของหวานด้วยเอ็กเพรสโซ และอาจะราดตามด้วยซอสคาราเมล หรือซอสช๊อคโกแลต
กาแฟขาว
เป็นชาสมุนไพรชนิดหนึ่ง ค้นพบที่เมืองเบรุต นิยมดื่มกันมากในประเทศเลบานอนและซีเรีย และนิยมทานคู่กับ ขนมหวาน ในประเทศทางยุโรปบางประเทศ จะกล่าวถึง ไวต์คอฟฟี (white coffee) ในลักษณะของกาแฟใส่นม ในขณะเดียวกันไวต์คอฟฟีในสหรัฐอเมริกาจะหมายถึง กาแฟที่กลั่นไว้นานจนมีสีคล้ายกับสีเหลือง
เป็นกาแฟที่ถูกตากจนแห้งกลายเป็นผงหรือเม็ดเล็กๆ ซึ่งละลายน้ำได้ มันมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากกาแฟสดและวิธีการชงก็แตกต่างกันด้วย ความเห็นต่อกาแฟประเภทนี้มีตั้งแต่ “ของเลียนแบบที่สุดจะทนดื่มได้” ไปจนถึง “ทางเลือกที่ดี” และ “ดีกว่าของแท้” ในประเทศที่มันได้รับความนิยม มักจะเรียกมันว่า “กาแฟปูโร (Café Puro) ” ในฐานะที่มันเป็นที่ขยาดของพวกเซียนกาแฟ
กาแฟไอริช
กาแฟไอริช คือกาแฟที่ชงแล้วผสมด้วยวิสกี้ และมีชั้นของครีมอยู่ข้างบน จัดเป็นประเภทเหล้ากาแฟ
คือกาแฟที่ได้จากการเทนมที่ผ่านการอุ่นด้วยไอน้ำและมีลักษณะเป้นครีม จากก้นเหยือกลงบนเอ็กเพรสโซหนึ่งช็อต แฟลทไวท์นิยมเสริฟในถ้วยทเซรามิกรงดอกทิวลิป
กาแฟกรองอินเดีย
กาแฟกรองอินเดีย (มัทราส) (Indian (Madras) filter coffee) นิยมทั่วไปทางภาคใต้ของอินเดีย ทำจากกากกาแฟหยาบๆ ที่ได้จากเมล็ดที่ถูกอบจนไหม้ (อาราบิกา, พีเบอร์รี) ชงด้วยวิธีหยดประมาณสองถึงสามชั่วโมง ในตัวกรองโลหะแบบของอินเดียโดยเฉพาะ ก่อนที่จะนำไปเสิร์ฟกับนมและน้ำตาล โดยปกติมักมีสัดส่วนกาแฟหนึ่งนมสาม
กาแฟผงพร้อมชง
เป็นกาแฟที่ถูกตากจนแห้งกลายเป็นผงหรือเม็ดเล็กๆ ซึ่งละลายน้ำได้ มันมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากกาแฟสดและวิธีการชงก็แตกต่างกันด้วย ความเห็นต่อกาแฟประเภทนี้มีตั้งแต่ “ของเลียนแบบที่สุดจะทนดื่มได้” ไปจนถึง “ทางเลือกที่ดี” และ “ดีกว่าของแท้” ในประเทศที่มันได้รับความนิยม มักจะเรียกมันว่า “กาแฟปูโร (Café Puro) ” ในฐานะที่มันเป็นที่ขยาดของพวกเซียนกาแฟ
กาแฟสไตล์เวียดนาม
เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้จากการชงแบบหยด ชงโดยการหยดน้ำผ่านตะแกรงโลหะลงไปในถ้วย ซึ่งมีผลให้ได้น้ำกาแฟเข้มข้น จากนั้นนำไปเทผ่านน้ำแข็งลงไปในแก้วที่เติมนมข้นหวานไว้ก่อนแล้ว เนื่องจากการชงกาแฟประเภทนี้ใช้กากกาแฟปริมาณมาก จึงทำให้การชงกินระยะเวลานาน
กาแฟกรีก หรือ กาแฟตุรกี
ชงด้วยการต้มกากกาแฟละเอียดกับน้ำพร้อมกันในไอบริก ซึ่งเป็นหม้อทำจากทองเหลืองหรือทองแดงมีด้ามยาวและเปิดด้านบน เมื่อชงเสร็จ ก็จะนำไปรินลงในถ้วยเล็กๆ โดยไม่กรองกากกาแฟออก ตั้งกาแฟทิ้งไว้สักพักก่อนดื่ม มักเติมเครื่องเทศและน้ำตาลด้วย
โกปิทูบรูค
เป็นกาแฟสไตล์อินโดนีเซียลักษณะเหมือนกับกาแฟกรีก แต่ชงจากเมล็ดกาแฟหยาบ และต้มพร้อมกับน้ำตาลปอนด์ปึกใหญ่ๆ นิยมดื่มในชวา, บาหลี, และบริเวณใกล้เคียง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ภูนั่งยอง
“ภูนั่งยอง” นักท่องเที่ยวยังสามารถมากางเต้นท์แบบคูลๆ ได้อีกด้วย ลุงมิตรและน้องแป้งเจ้าของร้านเล่าให้ฟังว่าถ้าฝนตกชุ่...
-
ต่อไปจะเป็นประวัติกาแฟของประเทศ "ไทย" เรา คำว่า “กาแฟ” ในสมัยรัชกาลที่4 เรียกว่า “ข้าวแฟ” ยังไม่ ได้เปลี่ยนเป...
-
วิธีการชงกาแฟคร้าบบบบ 1. Drip เป็นการชงกาแฟผ่านกระดาษกรอง โดยให้น้ำร้อนหรือหยดน้ำร้อนค่อยๆ ไหลผ่านกระดาษกรอง (หรือ filter สำหรับท...